จำนวน 360 หน้า
ขนาด 14.3 x 21 cm.
ผู้เขียน ดร.ซูซาน ฟอร์เวิร์ด, เครก บัก
แปล เชิญพร คงมา
คำนิยม โดยนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
ประมาณด้วยสายตา อย่างน้อยประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่ผู้ป่วยที่มาหาผมมีปัญหากับพ่อแม่
ส่วนใหญ่พ่อแม่มิได้ร้ายกาจถึงขั้นที่เรียกว่าพ่อแม่เป็นพิษแต่ก็มิใช่น้อย พวกเขามีภูเขาสองลูกกดทับอยู่บนบ่า
ภูเขาสองลูกนั้นคือพ่อและแม่
บ้านเราอาจจะไม่ต้องถึงกับมีพ่อแม่เป็นพิษ หมายถึงเป็นพ่อแม่ที่มีพยาธิสภาพทางจิตจริงๆ พ่อแม่เช่นนี้มีลูกเพื่อรับใช้ตัวเองโดยแท้ ไม่ยินยอมปล่อยลูกไปไหนตลอดชีวิต ไม่นับว่าจะสูบเงินและชีวิตจากลูกไม่เหลือหรอ
ปัญหาของบ้านเราเป็นเพียงปัญหาทางวัฒนธรรมเสียมากกว่ากล่าวคือเป็นลูกต้องกตัญญูโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้ออ้าง และไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีทางเลือก ไม่มีหนทางอื่น และไม่มีอ๊อปชั่นอื่น ได้เงินมาต้องให้แม่
มีเวลาต้องมาหาแม่ แม่ใหญ่กว่าเมียและพ่อใหญ่กว่าผัวชั่วนาตาปี ทั้งหมดนี้พ่อแม่อาจจะไม่ถึงกับมีพยาธิสภาพทางจิตอะไร แค่ว่า “ลูกที่ดีควรทำแบบนั้น”
ตามด้วย “เอาเงินมาให้แม่นี่เพื่อลูกเองนะ ลูกจะได้มีความสุขความเจริญ”
พ่อแม่ที่เป็นพิษจริงๆควบคุมลูกด้วยวิธีการต่างๆ ส่วนใหญ่จะว่าที่ทำไปก็เพื่อลูก เพราะรักลูกมากถึงได้ทำ แม่มีก็แค่ลูกเท่านั้น หรือ “ไปเถอะ จะเกิดอะไรกับแม่ก็อย่าสนใจ” เมื่อทำไปนานเข้าลูกที่ว่าก็จะไม่มี “ตัวตน” ไปเสีย เพราะตัวตนของตนเป็นของพ่อแม่ไปแล้ว
หนังสือเล่มนี้พูดถึงพ่อแม่เป็นพิษหลากหลายชนิด มิได้เขียนเป็นงานวิชาการเคร่งครัดแต่เขียนเป็นเรื่องเล่าถึงผู้ป่วยประเภทต่างๆ หากค่อยๆอ่านอย่างตั้งใจจะเข้าใจได้ถึงความแตกต่างของพ่อแม่แต่ละชนิดว่าพวกท่านมัดลูกด้วยวิธีไหน
พ่อแม่เป็นพิษทุกชนิดทำเหมือนกันอยู่เรื่องหนึ่งนั่นคือทำให้ลูกรู้สึกผิด “ลูกคือผู้รับผิดชอบเรื่องที่เกิดแก่พ่อแม่” โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอารมณ์ กล่าวคือความสุขความทุกข์ของพ่อแม่เป็นความรับผิดชอบของลูก
พ่อแม่มีความทุกข์เพราะลูกทำ ลูกให้เงินน้อย ลูกไม่มาหา ลูกเห็นคู่สมรสสำคัญกว่าพ่อแม่ เหล่านี้เป็นฝีมือลูกทั้งนั้น
มากไปกว่านี้คือสามารถโดดเดี่ยวลูกได้ด้วยหากทำนอกคอก เช่น ถ้าลูกคนหนึ่งไปเที่ยวกับครอบครัวของตัวเองแทนที่จะกลับมาหาแม่ ไม่เพียงแม่จะร้องไห้ให้ดู แต่ลูกคนนั้นจะถูกพี่น้องท้องเดียวกันรุมประณามได้อีกด้วย
“แม่แก่แล้วนะ! คิดว่าแม่จะได้ฉลองอีกกี่คริสตมาส!”
พ่อแม่ที่ควบคุมลูกมักอ้างว่าเพื่อป้องกันลูกให้พ้นจากอันตรายเพราะโลกมีอันตราย ส่วนพ่อแม่ที่ชอบล้อเลียนลูกมักพูดว่าเพื่อให้ลูกเข้มแข็งเพราะโลกภายนอกนั้นน่ากลัว
ครั้นลูกพยายามดิ้นรนด้วยการพูดว่า “ลูกโตแล้วนะ” แม่จะเสียใจให้ดู
แล้วถ้าลูกตัดพ้อว่า “ทำไมพ่อชอบล้อเลียนผมอยู่เรื่อย” พ่อจะพูดว่า “ล้อเล่นเฉยๆเท่านั้นเอง” จะเห็นว่าความผิดกลับมาที่ลูกเสมอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อลูกเองเชื่อเช่นนั้นจริงๆ “โลกอันตรายและน่ากลัวเกินกว่าที่เราจะอยู่ได้โดยปราศจากพ่อแม่” “ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเรา” ตามด้วย “ลูกที่ดีต้องไม่ทำแบบนั้น”
“ที่สุดแห่งการหักหลังคือการล่วงละเมิดทางเพศ” คือที่สุดของพ่อแม่เป็นพิษ
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ใส่ใจ ล้อเลียน ใช้วาจาหยามเหยียดหรือทำโทษทางร่างกายรุนแรง เหล่านี้ไม่มีอะไรร้ายแรงเท่าการล่วงละเมิดทางเพศซึ่งจะอยู่เหนือเหตุผลและคำอธิบายทั้งปวง
เด็กๆทุกคนจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครและไม่พูดจาให้ร้ายพ่อแม่เพราะที่พวกเขากลัวที่สุดคือตัวเองเป็นต้นเหตุให้ครอบครัวแตกสลาย ถ้าพ่อแม่ต้องแยกจากกันความผิดเกิดจากเขาแต่ผู้เดียวอีกเช่นกัน
ไม่มีเด็กคนไหนยอมรับได้ง่ายๆว่าพ่อแม่ของตนเป็นคนเลว เรื่องจะยุ่งยากมากขึ้นไปอีกเมื่อเด็กบางคนพึงพอใจสัมผัสที่เกิดขึ้น ถึงตอนนี้ลูกสาวอาจจะคิดว่าตนเองเป็นผู้หญิงอีกคนที่มาแย่งพ่อไปจากแม่
หนังสือเล่มนี้ยกตัวอย่างคำพูดของพ่อแม่เป็นร้อยๆที่ใช้มัดลูก ลองอ่านดูจะพบสักคำสองคำกันทุกคนเป็นแน่ ดังที่บอกว่าบ้านเราเป็นเรื่องทางวัฒนธรรมเสียมากจึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ลูกหลายบ้านจะได้ยินคำพูดแบบนี้เสมอๆทั้งที่พ่อแม่อาจจะมิได้ร้ายกาจมาก แต่นั่นแหละปัญหา
ในเมื่อพวกท่านมิได้ร้ายกาจมากเพราะอะไรแต่ละคนที่มาหาจิตแพทย์จึงดิ้นไม่หลุดและรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา
แทบทุกคนนั่งลงแล้วร้องไห้เมื่อพบกันครั้งแรก
หนังสือเล่มนี้ยังมีดีมากกว่าถ้อยคำของพ่อแม่ที่ใช้มัดลูกอีก ตอนกลางเล่มท่านจะพบแบบทดสอบว่าตนเองเป็นลูกประเภทไหน มีความเชื่อเรื่องพ่อแม่อะไรบ้าง
โดยทั่วไปผมเป็นคนไม่ชอบแบบทดสอบเพราะแบบทดสอบมักมีข้อเสียตรงที่ขีดเส้นบางเส้นชัดเจนเกิน แต่แบบทดสอบในหนังสือเล่มนี้น่าสนใจจริง ผู้เขียนหนังสือได้แบ่งแบบทดสอบออกเป็นหมวดๆแล้วแสดงความสัมพันธ์ของแต่ละหมวดอย่างน่าทึ่ง
มีหลายบทในตอนท้ายที่สาธิตให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความแตกต่างของวิธีพูดของเราเอง บ่อยครั้งที่พ่อแม่ขอให้เราทำเรื่องที่เราลำบากใจ แล้วบ่อยครั้งในบ่อยครั้งนั้นเองที่คู่สมรสของเราไม่อยากให้เราทำ ซึ่งถ้าเราฝืนทำได้มีปากเสียงกันกับคู่สมรสอย่างแน่นอน
เช่น พ่อแม่ขอย้ายมาอยู่ด้วย เป็นต้น
“ทะเลาะกับสามียังง่ายกว่าทะเลาะกับแม่เสียอีก” ผู้ป่วยคนหนึ่งว่า
เห็นไหมครับ ภูเขาสองลูกนั้นหนักเพียงใด หนักมากเสียจนเราไม่มีวันยกออกจากบ่าวางบนพื้นได้ง่ายๆ
หนังสือเล่มนี้มิได้บ่นหรือเป็นตัวแทนให้เราบ่น ตัวอย่างเรื่องพ่อแม่ขอย้ายมาอยู่ด้วยนี้มีทางออกจริงๆ ผู้บำบัดในหนังสือเล่มนี้ได้สาธิตให้เห็นว่าคนเราส่วนใหญ่จะพูดกับพ่อแม่แบบไหนในสถานการณ์เช่นนี้แล้วเมื่อพูดออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เพราะอะไร
คราวนี้ลองเปลี่ยนใหม่หัดพูดอีกแบบหนึ่งซึ่งเมื่อพูดออกไปแล้ว จะมีความหมายว่าอะไร แล้วจะเกิดอะไร เป็นเรื่องฝึกได้และทำได้